November 14, 2018

คล็อปป์จัดหนัก!พร้อมทุบสถิติสโมสรกระชากเดมเบเล่ร่วมทัพ



เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือ ลิเวอร์พูล ตกเป็นข่าวพร้อมทุ่มเงินเป็นสถิติสโมสรคว้า อุสมาน เดมเบเล่ ปีก บาร์เซโลน่า ร่วมทัพช่วงปีใหม่นี้ หลังนักเตะมีปัญหาไร้ตำแหน่งในถิ่นคัมป์ นู ถึงแม้เอเยนต์ยืนยันแข้งฝรั่งเศสไม่คิดที่จะย้ายทีมก็ตาม à¹€à¸—คนิคการลงทุน

เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก ตกเป็นข่าวว่าพร้อมที่จะทุ่มเงินก้อนโตเพื่อคว้าตัว อุสมาน เดมเบเล่ ปีก "เจ้าบุญทุ่ม" บาร์เซโลน่า สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกลา ลีกา สเปน มาเสริมทัพในช่วงเดือนมกราคมนี้

สตาร์ทีมชาติฝรั่งเศสตกเป็นข่าวเรื่องการย้ายทีมตลอดช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากแข้งวัย 21 ปีประสบปัญหาในการยึดตำแหน่งตัวจริงในถิ่นคัมป์ นู และล่าสุดก็มีรายงานว่า ลิเวอร์พูล พร้อมที่จะทุ่มเงินถึง 85 ล้านปอนด์ (3,825 ล้านบาท) เพื่อซื้อตัวในช่วงเปิดตลาดซื้อ-ขายนักเตะเดือนมกราคมนี้

คล็อปป์ เป็นแฟนตัวยงของ เดมเบเล่ และเชื่อว่าเขาจะสามารถช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์มาครองได้ ขณะที่ เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ เทรนเนอร์ บาร์ซ่า ตัดสินใจดร็อปแข้งน้ำหอมในแมตช์ล่าสุดที่แพ้ เรอัล เบติส 3-4 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

เดมเบเล่ ที่ย้ายจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ สโมสรแห่งศึกบุนเดสลีกา มาร่วมถิ่นคัมป์ นู ด้วยค่าตัวถึง 135 ล้านปอนด์ (6,075 ล้านบาท) เมื่อปี 2017 ทำผลงานน่าประทับใจในซีซั่นนี้ จากการซัดไปแล้ว 6 ประตูและ 2 แอสซิสต์จากทุกรายการ

ด้าน มุสซ่า ซิสโซโก้ เอเยนต์ของ เดมเบเล่ ออกมาเผยว่า เขาคิดว่านักเตะในความดูแลจะไม่ย้ายจาก บาร์ซ่า ในเร็วๆ นี้

"ไม่ต้องสงสัยเลยเกี่ยวกับอนาคตของเขา อุสมาน ยังคงทำงาน เขาอยู่กับสโมสรใกญ่ และ บัลเบร์เด้ ก็รักเขา และเขาก็ติดทีมชาติด้วย และ ดิดิเย่ร์ เดส์ชองส์ ก็ยังคงเชื่อมั่นในตัวเขา ถ้าเขาติดทีมชาติฝรั่งเศส ในวันนี้มันก็เป็นเพราะเขาสมควรแล้ว ผมได้คุยกับ เอริก อบิดัล (ผู้อำนวยการ บาร์ซ่า) และเขาบอกผมว่ามีความสุขมากๆ กับเขา และเขาก็ฝึกซ้อมได้ดีมากๆ" ซิสโซโก้ กล่าว

หาก ลิเวอร์พูล ซื้อตัว เดมเบเล่ ในราคา 85 ล้านปอนด์ นี่ก็จะเป็นสถิติใหม่ของสโมสร หลังจากที่ "หงส์แดง" ทำสถิติจ่าย 75 ล้านปอนด์ (3,375 ล้านบาท) คว้าตัว เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ กองหลังดัตช์ มาร่วมทัพเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

Posted by: waiwaimoosub00 at 04:43 AM | Comments (5) | Add Comment
Post contains 135 words, total size 12 kb.

November 06, 2018

อินโดนีเซียมั่นใจสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์อาเซียนหนแรก



บิมา ซัคติ นายใหญ่ทีมชาติอินโดนีเซีย ลั่นเป้าพาลูกทีมคว้าแชมป์ซูซูกิ คัพ เป็นสมัยแรก หลังเข้าใกล้แต่พลาดมาตลอด เผยเคยเป็นรองแชมป์ตั้งแต่สมัยเป็นผู้เล่นหวังสานต่อคว้าแชมป์ในฐานะเฮดโค้ช โวเตรียมตีหน้าประวัติศาสตร์วงการลูกหนังแดนอิเหนาได้เลย

ความเคลื่อนไหวของทัพ "ซังเมราห์ปูติห์" ทีมชาติอินโดนีเซีย ภายใต้การกุมบังเหียนของ "บิมา ซัคติ" เฮดโค้ชชาวอินโดนีเซีย ที่เตรียมทีมเพื่อลุยศึกฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน "เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018" ระหว่างวันที่ 8 พ.ย.-15 ธ.ค.61 โดยอยู่ในกลุ่ม บี ร่วมกับ ฟิลิปปินส์ , สิงคโปร์ , ติมอร์ เลสเต และ ไทย

ล่าสุดบิมา ซัคติ กุนซือใหญ่ของทีม ได้เปิดเผยผ่านเว็ปไซต์สมาคมฟุตบอลอินโดนีเซีย https://www.pssi.org/news/skuat-garuda-optimis-meraih-juara-di-aff-suzuki-cup-2018 ถึงเป้าหมายการแข่งขันรายการนี้ว่า

"ผมเคยอยู่ในสนามลงเล่นในรายการนี้ สมัยถ้วยยังใช้ชื่อ "ไทเกอร์คัพ" ซึ่งไปถึงรอบชิงชนะเลิศมาแล้ว มาปัจจุบันผมมาเป็นโค้ชของทีม ในฐานะโค้ชอยากจะพาอินโดนีเซียประสบความสำเร็จก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งแชมป์ให้ได้สักที และปีนี้มีโอกาสเป็นไปได้สูงด้วย สิ่งที่ชัดเจนคือผมเชื่อในความสามารถของทีมตัวเอง และผมเชื่อว่าปีนี้เราจะพิมพ์หน้าประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ซูซูกิ คัพให้ได้แน่นอน"

ทั้งนี้ทัพอิเหนา เคยเข้าชิงชนะเลิศรายการนี้มากแล้วถึง 5 ครั้ง มากเป็นอันดับสองรองจากทีมชาติไทย ที่ทำได้ 8 ครั้ง แต่อินโดนีเซียยังไม่เคยคว้าแชมป์ได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ครองสถิติรองแชมป์ 5 สมัย มากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน

สำหรับทีมชาติอินโดนีเซีย มีโปรแกรมรอบแบ่งกลุ่ม "เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018" ประกอบด้วย วันที่ 9 พ.ย.61 (เยือน) พบ สิงคโปร์ , วันที่ 13 พ.ย.61 (เหย้า) พบ ติมอร์ เลสเต , วันที่ 17 พ.ย.61 (เยือน) พบ ไทย และวันที่ 25 พ.ย.61 (เหย้า) พบ ฟิลิปปินส์

Posted by: waiwaimoosub00 at 08:50 AM | Comments (5) | Add Comment
Post contains 100 words, total size 9 kb.

October 29, 2018

สุดประทับใจ "ดีโอโก้" มอบเสื้อให้ "กาม่า" อดีตนายเก่า

"ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต้" เอาเสื้อเบอร์40ของตัวเองมามอบให้"อเล็กซานเดร กาม่า" อดีตกุนซือเก่า ขณะที่ เนวิน ชิดชอบ ปธ.สโมสรบุรีรัมย์ ปัดพูกถึงอนาคตของ "โบซิดาร์ บันโดวิช"



หลังจบเกมนัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลถ้วย เอฟเอคัพ2018 ที่ สิงห์ เชียงราย ชนะ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 3-2 ในห้องแถลงข่าวหลังเกมได้เกิดภาพประทับใจเกิดขึ้น เมื่อ ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต้ กองหน้าบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด นำเสื้อแข่งเบอร์ 40 ที่ลงเล่นนัดนี้นำมามอบให้กับ "อเล็กซานเดร กาม่า" กุนซือสิงห์ เชียงราย ซึ่งถือเป็นอดีตเจ้านายเก่าสมัยร่วมงานกันที่ปราสาทสายฟ้า ซึ่งกาม่ายิ้มทักทายพร้อมกับจับมือสวมกอด à¸£à¸¹à¹‰à¸ˆà¸±à¸à¸šà¸²à¸ªà¹€à¸à¸•à¸šà¸­à¸¥

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามไปยัง คุณเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ถึงอนาคตของ โบซิดาร์ บันโดวิช ว่าจะได้สิทธิ์ทำทีมต่อไปในฤดูกาลหน้าไหม หลังจากที่ปีนี้ คว้าแชมป์ไทยลีกได้อย่างเดียว ซึ่งประธานสโมสรบุรีรัมย์ไม่ได้ตอบคำถามสื่อแต่อย่างใด

Posted by: waiwaimoosub00 at 07:38 AM | Comments (4) | Add Comment
Post contains 58 words, total size 5 kb.

October 01, 2018

ย้ายผิดชีวิตเปลี่ยน!มัลคอมเซ็งกลายเป็นส่วนเกินบาร์ซ่า

มัลคอม ปีกตัวใหม่ บาร์เซโลน่า ตกเป็นข่าวกลายเป็นเพียงส่วนเกินของทีม เหตุ เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ กุนซือ "เจ้าบุญทุ่ม" ไม่เคยต้องการคว้าตัว ถึงแม้สโมสรทุ่มเงินปาดหน้า โรม่า เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่แล้วก็ตาม


มัลคอม ปีกชาวบราซิล ตกเป็นข่าวว่ากลายเป็นส่วนเกินของ "เจ้าบุญทุ่ม" บาร์เซโลน่า สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกลา ลีกา สเปน ไปแล้ว เนื่องจาก เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ เทรนเนอร์แห่งถิ่นคัมป์ นู ไม่เคยต้องการคว้าตัวมาร่วมทีม และไม่รู้ว่าจะใช้นักเตะในตำแหน่งไหนด้วย จากการรายงานเมื่อวันเสาร์ที่ 29 กันยายน ที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ มัลคอม ทำท่าว่าจะย้ายจาก บอร์กโดซ์ สโมสรแห่งศึกลีก เอิง ไปร่วมทัพ โรม่า ยอดทีมแห่งอิตาลี เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่สุดท้ายแล้ว บาร์ซ่า ก็เป็นฝ่ายปาดหน้าฉกตัวนักเตะมาร่วมถิ่นคัมป์ นู ชนิดที่หลายคนงงไปตามๆ กัน

แข้งวัย 21 ปี ทำผลงานยิง 12 ประตูในลีก เอิง เมื่อฤดูกาลที่แล้ว แต่ล่าสุดต้องประสบปัญหาไม่อาจหาตำแหน่งในทีม บาร์ซ่า ได้ โดยดาวเตะแซมบ้า ซึ่งได้เล่นเพียงไม่กี่นาทีในเกมที่ "เจ้าบุญทุ่ม" พลิกล็อคพ่าย เลกาเนส 1-2 เมื่อกลางสัปดาห์นั้น ไม่มีชื่อในทีมชุดเจอกับ แอธเลติก บิลเบา ในวันเสาร์นี้

ด้วยเหตุนี้ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่าทำไม บาร์ซ่า ถึงยอมจ่ายเงิน 41 ล้านยูโร (1,640 ล้านบาท) เพื่อคว้าตัว มัลคอม ตัดหน้า โรม่า และหากเขาตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมของ ยูเซบิโอ ดิ ฟรานเชสโก้ ก็น่าจะได้รับโอกาสลงเล่นมากกว่านี้



Posted by: waiwaimoosub00 at 08:07 AM | Comments (4) | Add Comment
Post contains 88 words, total size 8 kb.

September 18, 2018

เลิกหวังได้เลย!ริโอชี้สาเหตุแมนยูไม่มีทางคว้าถ้วยชปล.ซีซั่นนี้

ริโอ เฟอร์ดินานด์ อดีตปราการหลังคนดัง ประกาศชัด แมนฯ ยูไนเต็ด เลิกหวังเกี่ยวกับการได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก ในซีซั่นนี้ได้เลย เพราะเกมรับของพวกเขามีสภาพแย่สุดๆ ชี้ สาเหตุที่หลายฤดูกาลก่อนหน้านี้ "ปีศาจแดง" เสียประตูน้อยเป็นเพราะ ดาบิด เด เคอา โชว์ฟอร์มเซฟได้ยอดเยี่ยม


ในฤดูกาลนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด เสียประตูในลีกไปแล้วถึง 8 ลูก จากการลงเล่น 5 นัด แถมพวกเขายังเพิ่งเก็บคลีนชีทได้เพียงแค่เกมเดียวด้วย ซึ่งแนวรับชุดนี้ด้อยกว่าสมัยก่อนที่มี เฟอร์ดินานด์ และ เนมานย่า วิดิช เป็นเซนเตอร์แบ็กอย่างมาก

หลังจากถูกถามว่าแนวรับชุดปัจจุบันของ แมนฯ ยูไนเต็ด ดีพอที่จะทำให้ทีมมีลุ้นแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก หรือไม่นั้น เฟอร์ดินานด์ ก็ตอบว่า "ไม่ดีพอ และพวกเขาก็จะไม่ได้แชมป์ด้วย พวกเขาไม่ได้ซื้อคนที่จะเปลี่ยนแปลงเกมรับของทีมได้เข้ามาร่วมทีม"

"ที่ผ่านมาพวกเขามีซูเปอร์แมนอยู่ตรงปากประตู (หมายถึง ดาบิด เด เคอา) ถ้าเกิดไม่มีเขาช่วยเฝ้าเสาแล้วล่ะก็ ผมก็ไม่รู้ว่าตลอดช่วง 4 ปีหลังสุดมันจะเป็นยังไง พวกกองหลังที่ยืนอยู่หน้าเขาไม่มีความคงเส้นคงวาเลย"

 
"คนที่เป็นที่พึ่งพาไม่ได้จะไม่มีทางช่วยให้คุณสร้างแนวรับที่ดีได้ แล้วเมื่อคนเหล่านั้นได้ลงเล่น พวกเขาก็จะโชว์ฟอร์มเก่งกันไม่ออกด้วย (วิคตอร์) ลินเดอเลิฟ เป็นการซื้อที่ได้ผลรึเปล่า ? คำตอบคือไม่ (เอริก) ไบยี่ เป็นการเสริมทัพที่ได้ผลรึเปล่า ? คำตอบคือไม่ ขณะที่ (คริส) สมอลลิ่ง กับ (ฟิล) โจนส์ ก็ยังเล่นกันไม่ออกทั้งที่พวกเขาเคยแสดงให้เห็นว่ามีศักยภาพที่ดีในตอนที่เข้ามาสู่ทีมเป็นครั้งแรก" อดีตแข้งชาวอังกฤษ ระบุ

ขอบคุณข้อมูลจาก www.siamsport.co.th

Posted by: waiwaimoosub00 at 07:50 AM | Comments (4) | Add Comment
Post contains 82 words, total size 9 kb.

September 10, 2018

ซาร์รี่เล็งคว้าแนวรับเสริมทัพเชลซีช่วงปีใหม่

เมาริซิโอ ซาร์รี่ กุนซือ เชลซี ตกเป็นข่าวเล็งคว้ากองหลังเสริมทัพช่วงปีใหม่นี้ และเล็งไปที่ 2 เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ เอซี มิลาน แต่โอกาสสมหวังก็มีน้อยเต็มที



เมาริซิโอ ซาร์รี่ ผู้จัดการทีม "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก ตกเป็นข่าวว่าต้องการที่จะคว้ากองหลังรายใหม่เข้ามาเสริมทัพในช่วงเปิดตลาดซื้อ-ขายนักเตะเดือนมกราคมนี้ จากการรายงานเมื่อวันจันทร์ที่ 10 กันยายน ที่ผ่านมา

เชลซี เริ่มต้นฤดูกาลนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ ซาร์รี่ ก็ยังต้องการเสริมทัพ และล่าสุดก็มีรายงานว่าเขาเล็งคว้า อเลสซิโอ โรมันโญลี่ และ มัตเตีย คัลดาร่า 2 เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ เอซี มิลาน สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกกัลโช่ เซเรีย อา ถึงแม้ว่า "สิงห์บลูส์" ถูกเจาะตาข่ายเพียงแค่ 3 ประตูเท่านั้นในซีซั่นนี้ก็ตาม

อย่างไรก็ดี เป็นเรื่องยากมากๆ ที่ เชลซี จะสมหวัง เนื่องจาก โรมันโญลี่ เพิ่งต่อสัญญาฉบับใหม่ออกไป ขณะที่ คัลดาร่า เพิ่งย้ายมาร่วมถิ่นซาน ซิโร่ ในช่วงซัมเมอร์นี้ และ มิลาน ก็ไม่อยากที่จะปล่อย 2 แข้งทีมชาติอิตาลีออกไปด้วย หลังเพิ่งเสีย เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ ไปให้กับ ยูเวนตุส

Posted by: waiwaimoosub00 at 06:44 AM | Comments (4) | Add Comment
Post contains 69 words, total size 6 kb.

July 06, 2018

ประวัติของ Dimitar Ivanov Berbatov

ดีมีตาร์ อีวานอฟ เบร์บาตอฟ (บัลแกเรีย: Димитър Иванов Бербатов, Dimitar Ivanov Berbatov) เกิดเมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1981 เป็นนักฟุตบอลที่ได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินลูกหนังคนหนึ่งของวงการฟุตบอล เกิดในครอบครัวนักกีฬาในประเทศบัลแกเรีย พ่อของเขาเป็นนักฟุตบอลเช่นเดียวกับเขา ส่วนแม่ของเขาเป็นนักแฮนด์บอล เบร์บาตอฟได้เริ่มเล่นฟุตบอลในระดับเยาวชนกับทีมปีรินบลาโกเอฟกราด ซึ่งเป็นสโมสรเดียวกับที่พ่อเขาเคยค้าแข้งในอ ดีต


ด้วยฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นทำให้ซีเอสเคเอ โซเฟีย สโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่ของบัลแกเรียเซ็นสัญญาคว้าตัวเขามาร่วมทีมในขณะที่มีเบร์บาตอฟอายุ 17 ปี ก่อนจะได้ประเดิมสนามในทีมชุดใหญ่ครั้งแรกในฤดูกาล 1998-99 ด้วยวัยเพียง 18 ปี และนับจากนั้นเป็นต้นมา เบร์บาตอฟก็เริ่มสร้างชื่อให้กับตัวเองอย่างรวดเร็วด้วยการทำ 14 ประตู ในการลงสนามในลีก 27 นัด นอกจากนั้น ยังพาทีมคว้าแชมป์บอลถ้วยของบัลแกเรียมาครองด้วย

ในปี 2000-2001 สถิติทำ 9 ประตูใน 11 เกมในฤดูกาล ทำให้ไบเออร์ 04 เลเวอร์คูเซิน ทีมดังของแห่งศึกบุนเดสลีกา ตัดสินใจคว้าตัวดาวเตะชาวบัลแกเรีย มาช่วยล่าตาข่ายในเดือนม.ค. 2001


อย่างไรก็ตาม ช่วงแรกของเบร์บาตอฟกับไบเออร์ 04 เลเวอร์คูเซินไม่สวยหรูอย่างที่คิด เนื่องจากเขาทำได้แค่ 16 ประตูในการลงสนาม 67 นัดแรก โดยกว่าที่จะกลายเป็นกองหน้าเบอร์ 1 ของเลเวอร์คูเซิน ก็ต้องรอจนกระทั่งฤดูกาล 2003-04 ที่เขากดไป 16 ประตู จากการเริ่มต้นเป็นตัวจริง 24 นัด 2 ฤดูกาลถัดมา เบร์บาตอฟเริ่มทำผลงานได้ร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยสอยไปอีก 46 ประตู ซึ่งรวมถึง 5 ประตูในศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2004-05 และนั่นทำให้เขาเริ่มกลายเป็นที่สนใจของหลายสโมสรดังในยุโรป แต่สุดท้ายกลายเป็นทอตนัมฮอตสเปอร์ ทีมดังจากเกาะอังกฤษ ที่คว้าตัวรองดาวซัลโวบุนเดสลีกา ฤดูกาล 2005-06 ไปครองด้วยค่าตัว 16 ล้านยูโร (ราว 800 ล้านบาท) และทำสัญญาอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2006 ประตูแรกของในเกมอย่างเป็นทางการนัดแรกของเบร์บาตอฟกับสเปอส์ เกิดขึ้นในเกมพรีเมียร์ชิปที่พบกับเชฟฟีลด์ยูไนเต็ดที่ไวต์ฮาร์ตเลน นอกจากนั้น การประสานงานที่เข้าขากับร็อบบี คีน ก็ทำให้ทีม "ไก่เดือยทอง" ทะลุเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศยูฟ่าคัพ ก่อนจะพ่ายให้กับเซบียาที่กลายเป็นแชมป์ในเวลาต่อมา เบร์บาตอฟจบฤดูกาลแรกกับสเปอส์ด้วยการทำ 12 ประตูในการลงสนามในพรีเมียร์ลีก 33 นัด และช่วยผ่านบอลให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูอีก 11 ลูก และฟอร์มการเล่นอันโดดเด่นดังกล่าวก็ทำให้เขาได้รับเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาลของทีมไก่เดือยทองด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ยังติดทีมยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกเมื่อวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 2007 ด้วย นอกจากจะโดดเด่นในระดับสโมสรแล้ว ในทีมชาติ เบร์บาตอฟก็ถือว่าเป็นกำลังสำคัญของทีมเช่นกัน โดยหลังจากที่ติดธงครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1999 แล้วเขาก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของบัลแกเรียถึง 3 สมัย ในปี ค.ศ. 2002, 2004 และ 2005 พร้อมกับทำหน้าที่กัปตันทีมด้วย


ฤดูกาล 2007-08 เบร์บาตอฟต้องเผชิญหน้ากับข่าวการย้ายทีมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเปิดตลาดซื้อขายนักเตะรอบ 2 ในเดือนม.ค. 2008 ซึ่งแม้ว่าฆวนเด ราโมส กุนซือของทีม จะออกมายืนยันหลายครั้งว่าสเปอส์ไม่มีความคิดที่จะขายศูนย์หน้าตัวเก่งรายนี้ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถลดกระแสข่าวลงได้เลย เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยอดผู้จัดการทีมของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ไม่เคยปิดบังว่าเขาชื่นชอบทักษะและสัญชาตญาณการทำประตูของเบร์บาตอฟมากแค่ไหน แต่ความพยายามที่จะดึงตัวดาวยิงบัลแกเรียมาร่วมทีมอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเชลซี ทีมเจ้าบุญทุ่มของเมืองผู้ดีก็พร้อมที่จะประเคนเงินก้อนโตให้สเปอส์ยอมใจอ่อนเช่นกัน เรื่องราวการย้ายทีมยังมีอย่างไม่ลดละ เบร์บาตอฟก็ได้แสดงออกอย่างชัดเจนในความต้องการที่จะย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ถึงขั้นเซ็นชื่อในเสื้อของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และในที่สุดเขาก็ได้ย้ายมาร่วมทีมนี้ด้วยค่าตัว 30.75 ล้านปอนด์ (หรือประมาณ 1,968 ล้านบาท)

ในฤดูกาลแรกเขาต้องแย่งชิงตำแหน่งกับการ์โลส เตเบซ หัวหอกชาวอาร์เจนตินา แต่หัวหอกชาวบัลแกเรียก็ยังไม่สามารถทำได้ จนในปีต่อมาหลังจากที่เตเบซย้ายไปร่วมทีมแมนเชสเตอร์ซิตีด้วยค่าตัว 25 ล้านปอนด์ เขาจึงได้ตำแหน่งตัวจริงมาครอบครอง แต่เขาก็ยังไม่สามารถระเบิดฟอร์มเก่งออกมาได้ ทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากจนมีฉายาตามมา เช่น "ไอ้ช้า" ทำให้แฟนบอลรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าตัว 30.75 ล้านปอนด์ที่สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้เสียไป แต่ในฤดูกาล 2010-2011 หัวหอกหมายเลขเก้าระเบิดฟอร์มเก่งด้วยความขยันซ้อมและการพูดคุยกับเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดยนำสามารถทำ 3 ประตูในเกมชนะลิเวอร์พูล 3-2 ทำให้เขาเป็นที่ยอมรับในสายตาแฟนบอลมากขึ้น รวมถึงยังโชว์ฟอร์มสุดยอดทำคนเดียว 5 ประตูในเกมชนะแบล็กเบิร์นโรเวอส์ไปอย่างขาดลอย 7-1 ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นคนที่ 4 ในพรีเมียร์ลีกที่ยิง 5 ประตูในเกมเดียว ต่อจากแอนดี โคล, อลัน เชียเรอร์ และเจอร์เมน เดโฟ และตอนนี้เป็นดาวซัลโวของพรีเมียร์ลีกด้วย แต่ด้วยฟอร์มการเล่นที่ไม่คงที่แน่นอนจึงทำให้เขาตกเป็นตัวสำรองบ่อยครั้ง และการที่เป็นตัวสำรองบ่อยครั้งของเขาทำให้เฟอร์กีไม่พอใจฟอร์มการเล่นของเขา แม้จะมีอยู่บางช่วงที่ฟอร์มเริ่มกลับมาดีขึ้น ในปี ค.ศ. 2011 เฟอร์กีได้ซื้อชีชารีโต กองหน้าชาวเม็กซิโกมาทดแทนในตำแหน่งของเขา และทำให้เบร์บาตอฟไม่ได้รับโอกาสการลงเล่นในสนามให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเลยหลังจากนั้น เมื่อเปิดพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2012-13 ขึ้น เบร์บาตอฟได้ย้ายไปร่วมทีมกับสโมสรฟุตบอลฟูลัมในพรีเมียร์ลีกอีกเช่นกัน

Posted by: waiwaimoosub00 at 07:19 AM | Comments (3) | Add Comment
Post contains 233 words, total size 28 kb.

June 11, 2018

5 เคล็ดลับ กำจัดเรื่องเพลียๆ ออกจากตัว





     à¸Šà¸µà¸§à¸´à¸•à¸‚องมนุษย์ออฟฟิศนั้นเต็มไปด้วยความท้าทายมากมาย โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่ผู้คนมีแต่ความเร่งรีบ เริ่มตั้งแต่ตื่นเช้า เดินทางไปทำงาน เข้าประชุมติดๆ กันทั้งวัน คิดโปรเจกต์ ทำรีพอร์ต จนเลิกงาน รถติดกว่าจะถึงบ้าน เป็นวงจรเดิมทุกวัน แถมในระหว่างวันก็มักมีเรื่องต่างๆ เกิดขึ้นให้ "เพลีย” ทั้งกายและใจ จนทำให้เกิดความเครียด ที่อาจเป็นสาเหตุของความเจ็บป่วยต่างๆ ตามมา ครั้งนี้ขอยกตัวอย่าง 5 เรื่อง ที่ทำให้พวกเรา เหล่ามนุษย์ผู้ทำงานในออฟฟิศรู้สึก "เพลีย” พร้อมทั้งวิธีแก้เรื่องเพลียๆ แบบง่ายๆ ให้ผู้อ่านได้นำไปใช้กัน

     1.เพลียเพราะนอนดึกตื่นเช้า ไม่ว่าจะเป็นด้วยหน้าที่การงานที่ทำให้ต้องนั่งทำงานจนดึกดื่น หรือจะติดละครหลังข่าว เล่นเฟซบุ๊กจนเพลิน เมื่อร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ อย่างน้อย 6 ชั่วโมง/วัน สำหรับคนวัยทำงาน ก็จะส่งผลต่อร่างกายให้รู้สึกซึมเซาง่วงนอนในเช้าวันถัดมา หากหลีกเลี่ยงการนอนดึกไม่ได้ ก็ต้องบำรุงร่างกายเพิ่มเติม โดยการรับประทานอาหารประเภทโปรตีนจากเนื้อสัตว์ นม ไข่ หรืออาหารที่มีวิตามินซี ก็จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นได้







     2.เพลียจากการเดินทาง คนจำนวนมากต้องเสียเวลาในการเดินทางหลายชั่วโมงในแต่ละวัน คนที่ขับรถไปทำงานก็มักจะบ่นเรื่องการจราจรติดขัด ขณะที่บางคนใช้บริการรถสาธารณะ ก็ต้องเจอกับปัญหากวนใจมากมาย เช่น คนเบียดเสียด รถไฟฟ้าเสีย รถเมล์ขาดระยะ ยังไม่นับรวมเวลาฝนตก ซึ่งจะทำให้สถานการณ์เหล่านี้เลวร้ายลงไปอีก ลองแก้ปัญหาด้วยการเผื่อเวลาเดินทางอีกสักนิด เพื่อไปถึงที่หมายก่อนเวลา จะได้ไม่ต้องลุ้นเมื่อใกล้ถึงเวลาเข้างานหรือนัดหมาย แถมมีเวลาเหลือให้ผ่อนคลายก่อนเริ่มงานอีกด้วย







     3.เพลียกับคน คนเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้หนุ่มสาวชาว ออฟฟิศรู้สึกเพลีย ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้างานหรือเพื่อนร่วมงาน ที่ไม่น่ารักนัก ผู้นำพาความหดหู่มาสู่วันทำงานของเรา หลายคนอาจจะละเหี่ยใจจนถึงขั้นไม่อยากมาทำงาน หรืออยากลาออกเลยทีเดียว ดังนั้น ถ้าไม่อยากเพลียกับคนเหล่านี้ นอกจากหลีกเลี่ยงการคบหาสมาคมด้วยแล้ว เราต้องปรับทัศนคติของเราให้คิดในด้านบวก ยอมรับความแตกต่างของแต่ละบุคคล โดยทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ







     4.เพลียเพราะขาดสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน มนุษย์เงินเดือนหลายคนอาจประสบปัญหามีชีวิตส่วนตัวและใช้เวลากับครอบครัวน้อยลง อันเนื่องมาจากการเสียเวลาในการเดินทางหลายชั่วโมงต่อวัน แล้วยังต้องเจอปัญหางานด่วน ซึ่งมักทำให้ต้องทำงานล่วงเวลาอยู่เสมอ ปัญหาเหล่านี้อาจเกิดจากการจัดสรรเวลายังไม่ดีพอ วิธีแก้คือควรแยกแยะชีวิตส่วนตัวและการทำงานออกจากกันให้ชัดเจน หาเวลาผ่อนคลายให้กับตัวเองบ้าง เพื่อพบจุดสมดุลของตัวเอง





      5.เพลียเพราะเสียน้ำในร่างกาย ใครจะคิดว่าการนั่งทำงานอยู่กับโต๊ะ ในออฟฟิศ แอร์เย็นๆ ก็ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียได้ แม้ร่างกายจะไม่ได้เสีย เหงื่อเลยก็ตาม ทั้งนี้เพราะร่างกายมีการสูญเสียน้ำอยู่ตลอดเวลา หากดื่มน้ำไม่เพียงพอต่อการทดแทนน้ำที่สูญเสียไประหว่างวันอาจทำให้รู้สึกเพลีย



 


     à¹€à¸žà¸£à¸²à¸°à¹€à¸£à¸·à¹ˆà¸­à¸‡à¹€à¸žà¸¥à¸µà¸¢à¹† ในชีวิตประจำวันเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถหลีกหนีได้ จึงควรหาวิธีแก้เพลียกันไป ด้วยเคล็ดลับง่ายๆ ข้างต้น หรือหากต้องการเติมความสดชื่นให้กับวันเพลียๆ ลองเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมสกัดจากผักและผลไม้ที่มีแคลอรีต่ำ หรือเลือกดื่มน้ำแร่ก็จะช่วยเติมความสดชื่นให้ร่างกายได้ดีทีเดียว จากนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรมากมายให้วุ่นวายใจ แค่ตั้งสมาธิแล้วคิดบวกเข้าตั้งใจทำงาน และนำ 5 เคล็ดลับ เหล่านี้ไปใช้ รับรองว่าจะทำให้เราพร้อมรับกับความท้าทายทุกรูปแบบในชีวิตประจำวันได้อย่างแน่นอน

Posted by: waiwaimoosub00 at 08:32 AM | Comments (4) | Add Comment
Post contains 111 words, total size 24 kb.

<< Page 1 of 1 >>
131kb generated in CPU 0.0163, elapsed 0.0534 seconds.
39 queries taking 0.0407 seconds, 102 records returned.
Powered by Minx 1.1.6c-pink.